ทำไมถึงมาเรียนเภสัช
คำถามนี้เป็นคำถามที่ผ่านมาแล้ว 9 ปี แต่ผมก็ยังไม่เคยตอบมันอย่างจริงจังได้เลย
คำถามนี้เป็นหนึ่งในงานที่ได้รับมอบหมายของวิชา Pharmacy Orientation วิชาแนะนำงานของเภสัชกรว่าเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง
คำตอบที่ผมตอบไปตอนนั้นคือ
มาเรียนเพราะไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรดี แล้วก็ไม่ได้ชอบวิชาชีพนี้เป็นพิเศษ
สารภาพตามตรงว่าตอนนั้นตอบไปแบบส่งๆ เพราะเห็นเพื่อนๆ ตอบกันประมาณว่า “รักวิชาชีพนี้ ฝันอยากจะเป็นมาตั้งแต่เด็ก” ก็เลยหมันไส้ตอบมันกวนทีนแบบนี้แหละ (นึกแล้วก็ขำตัวเองตอนนั้น นิสัยเด็กจริงๆ ที่เพื่อนตอบก็ถูกของเพื่อน ก็พวกเค้าฝันแบบนี้กันจริงๆ นี่)
แล้วคำตอบนี้มันก็ส่งผลให้ผมได้เกรดบีในวิชานี้ วิชาที่แจกเอเกือบหมดชั้นปี มีแค่ผมกับเพื่อนอีกคนที่ได้บี แล้วมันก็ซิ่วไปเรียนแพทย์จนกลายเป็นนายแพทย์ไปแล้วด้วย แต่จะโทษคำตอบนี้อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมชอบเลี่ยงการออกไปนำเสนอด้วย ก็สมควรหรอกที่จะได้คะแนนน้อย
ถึงผมจะย้อนเวลากลับไปแก้คำตอบนี้ไม่ได้แล้ว ผมก็อยากหาคำตอบของคำถามนี้ให้ได้ ก่อนที่ผมจะลืมความรู้สึกของตัวเองเมื่อ 9 ปีที่แล้วไปซะก่อน
ขั้นแรกก็ต้องย้อนอดีตกลับไปว่าตอนนั้นผมกำลังคิด กำลังทำอะไรอยู่ มีอะไรที่พอจะเป็นคำตอบได้บ้าง
- ช่วงก่อนจะยื่นคะแนนโควต้าของมหาวิทยาลัยนเรศวรประมาณ 2 เดือน น้าชายที่ใกล้ชิดกับผมมาตั้งแต่เด็ก ได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับอาชีพเภสัชให้ผมฟัง ซึ่งผมจำรายละเอียดไม่ได้แล้ว แต่สรุปได้ว่าอาชีพนี้น่าสนใจ และเหมาะกับผมดี
- แพทย์เป็นอาชีพที่ผมใฝ่ฝันมาตั้งแต่มัธยมต้น แล้วก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับการเรียนมาค่อนข้างเยอะ แล้วก็ได้รู้ว่าต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ด้วย แล้วผมก็กลัว แล้วผมก็คิดเอาเองว่าเรียนเภสัชไม่ต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ แล้วผมก็ได้รู้ว่าผมเข้าใจผิด เภสัชก็ต้องเรียนกับอาจารย์ใหญ่ด้วย แค่ไม่ต้องผ่าเท่านั้นเอง
- ทันตแพทย์ก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ผมคุ้นเคย แต่ก่อนจะยื่นคะแนนไม่กี่เดือน เพื่อนของน้าชายในข้อแรกที่เป็นทันตแพทย์ มาบอกกับผมว่าทำฟันมันปวดหลังนะ แค่นั้นแหละความทรงจำของความทรมานจากการปวดหลังเพราะโดนลงโทษตอนเรียนนักศึกษาวิชาทหารจนหมอนรองกระดูกสันหลังอักเสบกลับมาหลอกหลอนเลย แล้วมันก็มีผมต่อลำดับการเลือกคณะของผมจาก 1.แพทยศาสตร์ 2.ทันตแพทยศาสตร์ 3.เภสัชศาสตร์ กลายเป็น 1.เภสัชศาสตร์ 2……… 3………… (สุดท้ายโดนอาจารย์ที่รับสมัครให้เขียนคณะที่เลือกให้ครบสามลำดับจนได้)
- หลังจากสอบติดโควต้าแล้ว ผมยังมีโอกาสไปยื่นคะแนน และสอบที่อื่นได้อีกตั้งหลายที่ แต่แม่บอกให้ไปมอบตัวเลย ไม่ต้องไปสอบอีกแล้ว ผมก็เลยตามใจแม่ตอนนั้นผลโควต้าออกประมานเดือนพฤศจิกายน กว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดเทอมก็ตั้งเดือนมิถุนายนปีถัดไป ผมเลยคิดว่าถ้าไปมอบตัวก็ไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องตั้งใจเรียนอีกตั้งครึ่งปีกว่า แล้วผมก็ไม่ตั้งใจเรียนจริงๆ เช้ามาเรียน บ่ายโดดออกไปร้านเกม ทำอย่างนี้แทบทุกวันจนเรียนจบ เกรดก็เลยร่วงจาก 3.2 เหลือ 2.6 สมควรแล้วจริงๆ
- เคยไปซื้อยาที่ร้านยา เคยไปรับยาที่โรงพยาบาล แล้วประทับใจเภสัชกร เลยฝันอยากจะเป็นอย่างนั้นบ้าง เอ่อคงไม่ใช่เรื่องของผมหรอก ในความทรงจำไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่เลย
- อยากคิดค้น วิจัยยาใหม่ นี่ก็คงไม่ใช่เรื่องของผมอีกแหละ ถึงตอนนั้นผมจะชอบประดิษฐ์สิ่งของ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องยาเลย
- อยากรู้เรื่องยาเยอะๆ จะได้เอาความรู้ไปดูแลพ่อ แม่ ญาติพี่น้อง หรือคนรู้จัก เรื่องอยากดูแลคนอื่นนะใช่ แต่ความอยากรู้เรื่องยานี่รู้สึกว่ามันจะไม่มีอยู่ในความทรงจำตอนนั้นนะ
โอเคผมเหมือนจะรู้แล้วว่าทำไมตอนนั้นผมถึงเลือกมาเรียนเภสัช
ผมไม่เคยฝันอยากเป็นเภสัชกร ไม่เคยประทับใจเภสัชกรคนไหนๆ มาก่อน ไม่เคยอยากคิดค้นยา ไม่เคยสนใจเรื่องยาเป็นพิเศษ
ผมคิดอย่างเดียวว่า การเรียนมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเรียนคณะอะไร ผมก็จะได้พบกับผู้คนมากขึ้น ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้พบกับความรัก ได้เจอกับความเสียใจ ได้เปิดโอกาสให้ผมได้ค้นหาความรู้ ได้อ่านหนังสือมากขึ้น ได้เจอกับคนเก่งๆ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ได้สอนให้ผมคิดเป็น เปิดมุมมองของผมให้กว้างขึ้น และได้ไว้ผมยาว
ดังนั้นผมเรียนคณะอะไรก็ได้ ที่ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวังและเสียใจ และคณะเภสัชศาสตร์ก็เป็นคณะที่ผมตั้งใจแล้วว่าจะมาเรียนเอง
ถึงผมจะไม่รักอาชีพนี้มาก แต่ผมก็ไม่เคยเกลียดเลยนะครับอาจารย์
– ศิษย์เก่ารุ่น 9 รหัสเข้า 44